เมื่อเราเปิดพจนานุกรมญี่ปุ่น-ไทยเพื่อหาความหมายของคำว่า 痛い (itai) เราจะเจอแบบนี้ค่ะ
นี่คือความหมายทั่วไปของคำว่าอิไต้ แต่เมื่อมันมารวมกับคำว่าバッグที่แปลว่ากระเป๋า เลยแปลออกมาตรงๆว่า “กระเป๋าเจ็บ” (Painful Bags) ซึ่งหลายๆเว็บที่เขียนบทความเรื่องอิตะแบคต่างบอกว่าคำว่าอิไต้ในคำว่าอิตะแบคนั้นมีนัยของความเจ็บในหลายๆแง่ อาทิ เจ็บกระเป๋าเงิน (เปย์เยอะ) เจ็บหลัง เจ็บไหล่ (แบกกระเป๋าไปงานอีเว้นท์และธีมคาเฟ่) แต่จริงๆคำคำนี้มันมีอีกความหมายหนึ่งด้วย ลองอ่านทวิตสองอันนี้ดูค่ะ
ตรงจุดที่บอกว่าเป็นคำแทงตัวเองเหมือนคำว่าฟุโจฉินั้น โอตาคุญี่ปุ่นเขาใช้คำว่าอิไต้เพื่อออกแนวประชดว่า“ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันดูประหลาด แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็ฉันชอบนี่!”
ส่วนคุณParis.Bได้แปลคำว่าอิไต้ไว้ในblogของเธอว่า “แสนเสร่อจนปวดตับ”
ถึงตรงนี้ ถ้าคุณเคยดูOsomatsu-sanมาก่อน จะมีตัวละครตัวหนึ่งพูดคำว่าอิไต้บ่อยมาก ตัวละครตัวนั้นคือ คุณพี่คารามัตสึแสนอิไต้นั่นเองค่ะ ที่เจ้าตัวพูดอิไต้บ่อยๆในอนิเมะนั่นคืองานด่าตัวเองว่าเบียวแบบแทงตัวพี่แกเองเลยค่ะ555
ส่วนบล็อกของคุณAyumiที่เขียนเรื่องอิตะแบค ก็เขียนไว้ว่าจริงๆแล้วคำว่าอิไต้ไม่ได้แปลว่าเจ็บตามที่แปลแบบตรงตัว แต่มันหมายถึงอาการที่คนทั่วไปที่ไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมโอตาคุมองอิตะแบคด้วยสายตาแปลกๆหรือเวทนา
It is written 痛バッグ in Japanese. 痛 means ‘painful’ and バッグ means bag…so in other words ‘painful bag’! They are not painful to their owners, of course, but Ita-bags might looks a little weird or painful to look at for people who are not very comfortable with otaku culture.
ส่วนในเว็บ痛バッグ.com ได้อธิบายว่า คำว่าอิตะแบคย่อมาจากวลี 「見てて痛々しいバッグ」แปลได้ว่ากระเป๋าที่มองดูน่าเวทนา (ในสายตาคนนอกวัฒนธรรมโอตาคุ) ก็ยืนยันว่าคำว่าอิไตในคำว่าอิตะแบคนั้นโอตาคุใช้ความหมายเชิงแทงตัวเอง ประชดสิ่งที่ตัวเองทำว่ามันดูเบียวแบบน่าสมเพชเวทนาแต่ก็ทำเพราะใจรักล้วนๆ
ความตั้งใจของแอดมินคือให้ความรู้ และอยากให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของคำคำนี้ ดังนั้นผู้อ่านทุกท่านไม่ต้องซีเรียสกับบทความนี้นะคะ จริงๆทีแรกแอดมินจะอธิบายความหมายเชิงสแลงของคำว่าอิไต้ไว้ในบทความเรื่องอิตะแบ๊คคืออะไร แต่เห็นว่าเรื่องนี้สามารถยกมาเป็นบทความอีกอันหนึ่งเลยทำแยกออกมาต่างหากค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ//กราบ
ที่มา
痛バッグ.com
https://manga.tokyo/otaku-articles/what-is-an-ita-bag/
the-paris-b.blogspot.com/2016/04/025.html